วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

สินค้าชุมชนตำบลโพนครก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์

สินค้าชุมชนตำบลโพนครก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์


    ถ้าจะพูดถึงสินค้าชุมชน แล้วละก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากผ้าถุงทอมือหรือที่หมู่บ้านของดิฉันเรียกว่า"ผ้าซิ้น"นั้นเอง ผ้าไหมที่หมู่บ้านดิฉันทอกับแทบจะทุกหลังคาบ้านก้อคือ"ผ้าโฮล" แต่จะแตกต่างจากที่อื่นในจังหวัดสุรินทร์คือส่วนใหญ่แล้วจะนิยมชื้อเส้นไหมจากร้านที่อยู่ในตัวเมืองไปทำเพราะในหมู่บ้านไม่ค่อยจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเองกันสักเท่าไรมีเพียงแค่ 2-5 หลังคาเท่าที่ดิฉันยังเห็นปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อเอาเส้นไหมมาทอผ้าแต่ก็เป็นส่วนน้อย

ส่วนขั้นตอนการทอเป็นผืนผ้า จะมีวิธีทอและสอดใส่ลวดลายกันไป

    การเลี้ยงไหม

    วงจรชีวิตของไหมหรือหนอนไหมใช้เวลาประมาณ 45 - 52 วัน หนอนไหมจะกินใบหม่อนหลังจากฟักออกจากไข่ประมาณวันที่ 10 จากนั้นจะหยุดกินอาหารและลอกคราบ ระยะนี้เรียกว่า “ ไหมนอน ” ต่อจากนั้นจะกินนอนและลอกคราบประมาณ 4ครั้งเรียกว่า “ ไหมตื่น ” ลำตัวจะมีสีขาวเหลืองใสหดสั้น และหยุดกินอาหาร ระยะนี้เรียกว่า “ หนอนสุก ” ช่วงนี้ผู้เลี้ยงไหมต้องรีบแยกหนอนไหมสุกออกจากกองใบหม่อน และเตรียม “ จ่อ ” คืออุปกรณ์ที่จะให้ตัวไหมเกาะเพื่อชักใยห่อหุ้มตัว
    หนอนจะเริ่มพ่นใยได้ประมาณ 6-7 วัน ก็จะสามารถเก็บรังไหมออกจากจ่อได้ เส้นใยของหนอนเกิดจากการขับของเหลวชนิดหนึ่ง มีสารโปร่งแสงเป็นองค์ประกอบ ใยไหมที่เห็นแต่ละเส้นจะประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ สองเส้นรวมกัน สามารถฉีกแยกออกจากกันได้ ทั้งนี้รังไหมแต่ละรังจะให้สายไหมที่มีขนาดแตกต่างกัน ชั้นนอกสุดของรังจะมีความละเอียดพอสมควรชั้นกลางจะเป็นเส้นหยาบและชั้นในสุดจะเป็นเส้นไหมที่ละเอียดที่สุด ซึ่งหนอนไหมแต่ละตัวจะชักใยยาวไม่เท่ากัน อาจสาวได้ยาวตั้งแต่ 350 - 1,200หนอนไหมจะเจาะรังออกมาเป็นผีเสื้อเมื่ออยู่ในรังครบ 10 วัน ซึ่งผู้เลี้ยงจะคัดไหมที่สมบูรณ์ไว้ทำพันธุ์ ส่วนที่เหลือนำไปสาวไหมก่อนที่ผีเสื้อจะเจาะรังออกมา ซึ่งเส้นจะขาดและทำเส้นไหม
     ปัจจุบันส่วนใหญ่จะนิยมซื้อเส้นไหมสำเร็จจากร้านในตัวเมืองไปทอผ้าเพื่อลดเวลาในการทอผ้าในแต่ล่ะครั้ง ถ้าหากเลี้ยงไหมเองก็จะใช้เวลานานกว่าขั้นตอนอื่นๆในการเลี้ยงไหม


    การสาวไหม

    เมื่อได้รับไหมสดจะต้องนำไปอบให้แห้ง จากนั้นนำไหมที่อบแห้งไปต้มในน้ำที่สะอาดที่มีคุณสมบัติเป็นกลาง รังไหมจะเริ่มพองตัวออก ใช้ปลายไม้เกี่ยวเส้นใยออกมารวมกันหลายๆ เส้น การสาวต้องเริ่มต้นจากขุยรอบนอกและเส้นใยภายในรวมกัน เรียกว่า“ ไหมสาว ” หรือ “ ไหมเปลือก ” ครั้นสาวถึงเส้นใย
ภายในแล้ว เอารังไหมที่มีเส้นภายในแยกไปสาวต่างหากเรียกว่า “ เส้นไหมน้อย ”
      หรือ “ ไหมหนึ่ง ” ผู้สาวไหมต้องมีความชำนาญและทักษะจึงจะได้เส้นไหมที่มีคุณภาพดี เมื่อเติมรังไหมลงไปอีก รังไหมใหม่สามารถรวมเส้นกับรังไหมเก่าได้ โดยไม่ทำให้เส้นไหมขาด 




    การย้อมสี

    การ ย้อมสีไหมจะต้องนำไหมดิบมาฟอกเพื่อไม่ให้มีไขมันเกาะ โดยจะใช้ด่างจากขี้เถ้าไปฟอกไหม เรียกว่า “ การดองไหม ” จะทำให้เส้นไหมขาวนวลขึ้น แล้วจึงนำไปย้อม ในสมัยก่อนนิยมใช้สีจากธรรมชาติ เช่น สีแดงจากครั่ง , ผลและใบคำแสด , รากยอป่า , มะไฟป่า หรือรากของต้นเข็ม สีเหลืองจากแก่นของต้นเข สีจำปาหรือสีส้มจากดอกคำแสดหรือดอกกรรณิการ์ สีน้ำเงินจากต้นคราม สีเขียวจากเปลือกไม้มะหูด สีเขียวมะกอกจากแก่นไม้ขนุน เปลือกนนทรีและเปลือกต้นตะแบก สีไพลจากใบสัปปะรดอ่อนกับน้ำมะนาว สีน้ำตาลจะต้นหมาก สีม่วงจากต้นหว้า สีดำจากมะเกลือ , รากต้นชะพลูและสมอ แต่ปัจจุบันการย้อมด้วยสีธรรมชาติเริ่มหายไป เนื่องจากมีสีวิทยาศาสตร์เข้ามาแทนที่ ที่หาซื้อง่ายตามร้านขายเส้นไหมหรือผ้าไหม เมื่อละลายน้ำจะแตกตัว ย้อมง่าย สีสดใส ราคาค่อนข้างถูก ทนต่อการซักค่อนข้างดี
    การ ย้อมด้วยสีธรรมชาติมีข้อดี คือ สีไม่ฉูดฉาด สีอ่อนเย็นตากว่าสีสังเคราะห์ จึงทำให้สีของผ้างดงามสัมพันธ์กับรูปแบบของผ้าพื้นเมือง สีธรรมชาติจะติดสีได้ดีในเส้นไหมและฝ้าย
   

    การทอผ้า

    ขั้น ตอนสุดท้ายก่อนที่จะออกมาเป็นผ้าผืนงาม การทอผ้าไหมจะประกอบไปด้วยเส้นด้าย 2 ชุด คือ “ เส้นด้ายยืน ” จะขึงไปตามความยาวผ้าอยู่ติดในเครื่องทอ หรือแกนม้วนด้านยืน อีกชนิดหนึ่งคือ “ เส้นด้ายพุ่ง ” จะถูกกรอเข้ากระสวย เพื่อให้กระสวยเป็นตัวนำเส้นด้ายพุ่งสอดขัดเส้นด้ายยืนเป็นมุมฉาก ทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า การสอดด้ายพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุดถึงริมแต่ละด้าน แล้วจึงวกกลับมา จะทำให้เกิดริมผ้าเป็นเส้นตรงทั้งสองด้าน ส่วนลวดลายของผ้านั้น ขึ้นอยู่กับการวางลายผ้า



สินค้าชุมชน ตำบลหนองใหญ่ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์

เครื่องจักสานไม้ไผ่ ตำบลหนองใหญ่


             การจักรสานไม้ไผ่มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย โดยนำไม่ไผ่ที่ขึ็นอยู่ทั่วไป มาจักสาน ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในครอบครัว จากขั้นตอนที่ง่ายจนวิวัฒนาการสู่ความละเอียดอ่อน ประณีตงดงามในเชิงศิลปะและประโยชน์ใช้สอย จนสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี และสืบทอดมาจนปัจจุบัน
             กรรมวิธีดังกล่าว ช่วยให้ชาวบ้านได้ผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก เราเรียกสิ่งประดิษฐ์นั้นว่า หัตถกรรมอันหมายถึง การสร้างสิ่งของเครื่องใช้ด้วยมือ เครื่องมือ ภูมิปัญญา เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน และถ้าสิ่งประดิษฐ์นั้นมีค่ามากกว่าการใช้สอย โดยรวมความงาม เน้นให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ ประณีตงดงามเป็นความละเอียดอ่อนในทางศิลปะ เรามักเรียกสิ่งประดิษฐ์นั้นว่า หัตถกรรมศิลป์ เครื่องจักสาน คือ เครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้ไผ่ จากฝีมือความคิด ภูมิปัญญาของชาวบ้านมีลักษณะรูปทรงแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น






สุ่มไก่
            การทำสุ่มในหมู่บ้านมีชาวบ้านจำนวนมากที่ชื่นชอบและนิยมกีฬาชนไก่ จึงมีการเลี้ยงไก่ชนเป็นจำนวนมาก และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเลี้ยงดูไก่ชนอย่างใกล้ชิดคือสุ่มไก่ ซึ่งสุ่มไก่นี้สานได้ง่าย มีราคาถูกและใช้ประโยชน์ได้ดี การสานสุ่มไก่นี้ได้สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานมากสืบทอดมาทั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ จึงได้มีการสานสุ่มสืบต่อกันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันก็ได้สานสุ่มเป็นอาชีพ เพราะด้วยวัยที่มากขึ้นทุกวัน ไม่สามารถออกไปทำงานได้ จึงยึดอาชีพสานสุ่มไก่ขายเป็นหลัก

ไซดักปลา
         ซึ่งชาวบ้านจะทำไซดักปลาไว้ใช้เองโดยจะนำไซไปดักไว้ตามคลองที่น้ำไหลผ่าน  ซึ่งสถานที่ดักก็จะมีอยู่ทั่วไปตามไร่ตามนา  ในฤดูฝนมีน้ำหลาก  ชาวบ้านออกไปทำไร่ ทำนา  ก็จะนำไซไปดักทิ้งไว้ด้วย  ก็จะได้ปู  ปลาต่าง ๆ หรือทำขายให้บุคคลทั่วไปปที่สนใจ


ข้องใส่ปลา
            ข้อง  เป็นเครื่องจักสานชนิดหนึ่ง สานด้วยผิวไม้ไผ่ ใช้ใส่ปลา กุ้ง หอย ทุกชนิด ใช้ในเวลาที่ออกหาปลา โดยผูกข้องไว้ที่เอว
 





สินค้าชุมชนตำบลของฉัน "รองเท้าจากยางรถสิบล้อ"

ชุมชนตำบลสวาย เป็นชุมชนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดสุรินทร์ประมาณ 22 กิโลเมตร เป็นชุมชนที่อยู่กันแบบ เศรษฐกิจพอเพียง อาชีพของคนในชุมชนนี้ มักจะประกอบอาชีพ ทำนา กันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อหมดฤดูการทำนา คนส่วนใหญ่จะว่างงานกัน เวลาที่ชาวบ้านรอการปลูกข้าวอีกครั้ง ก็จะพากัน ปลูกผัก เลี้ยงปลา และประกอบอาชีพค้าขายตามที่ตัวเองถนัด เพื่อดำรงชีวิตการเป็นอยู่ของตน

การประกอบอาชีพค้าขายของคนในชุมชนก็จะทำผ้าไหม เครื่องจักรสาน เป็นต้น

วันนี้ฉันได้หัวข้องานมาว่า สินค้าชุมชนตำบลของฉัน

สิ่งแรกเลย ฉันคิดแค่ว่าหมู่บ้านของฉันมีอะไรที่สามารถนำมาเป็นสินค้าได้บ้าง ที่ฉันคิดได้ขณะนั้น มีผ้าไหมและเครื่องจักรสาน เช่น เสื่อกก กระดง  เป็นต้น  ฉันคิดอะไรไม่ได้อีกเลย จนกระทั้งฉันได้เห็นคุณตาของฉันได้สวมรองเท้าคู่หนึ่ง ฉันได้ถามคุณยายไปว่า รองเท้าคู่นี้หนูเห็นคุณตาสวมมาหลายปีแล้ว คุณตาซื้อใหม่แล้วหรอค่ะ
คุณตา : ตายังไม่ได้ซื้อใหม่หรอกนะ คู่นี้ตาสวมมาสามปีแล้ว
หลาน : แล้วคุณตาซื้อที่ไหนค่ะ เขายังทำอยู่หรือเปล่า
คุณตา : ตาซื้อในหมู่บ้าน แกชื่อตาย้อม บ้านแกอยู่ตรงตลาด
จากนั้นฉันก็คิดได้เลยว่า......สินค้าชุมชนตำบลของฉัน......จะเป็นสินค้าอะไร ?



รองเท้าจากยางรถสิบล้อ นี้ก็เป็นอาชีพหนึ่งของคนในตำบลสวายของฉัน เรามาดูกันว่าก่อนจะเป็นรองเท้าได้ มีวัสดุ/อุปกรณ์ และขั้นตอนการทำอย่างไร

วัสดุ/อุปกรณ์
1. ตะปู  
2. ค้อน  
3. แม่แบบ  
4. ซิ 
5. คีม  
6. ยางรถสิบล้อที่เลิกใช้แล้ว  
7. ไม้ขีด  
8. ที่คีบตะปู  
9. มีดกรีด




ขั้นตอน
1. ตัดยางรถเป็นวงกลม
2. เอาแม่แบบมาทาบตัดตามรอยแม่แบบ
3. เอามีดมาเจาะรูด้านหน้าและด้านข้างยางรถสิบล้อที่ได้จากการตัดตามแม่แบบ
4. เอายางรถที่เหลือ มาตัดเป็นเส้นยาวๆ ความกว้างพอประมาณ
5. นำยางที่ตัดได้เป็นเส้นยาวๆ มาวัดตามขนาดของขาที่ต้องการ
6. นำยางที่ตัดเป็นเส้น วัดได้ตามขนาดขาแล้ว เอามาต่อกับยางรถที่ได้จากการเจาะรูเสร็จแล้ว
7. ตอกตะปูเพื่อให้รองเท้ามีความแข็งแรงไม่หลุดง่าย






           ก็ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ จากล้อรถสิบล้อกลายมาเป็นรองเท้าให้สวมกันได้อย่างมั่นใจ และที่สำคัญที่สุดรองเท้าจากยางรถสิบล้อนี่มีความทนมากที่สุด จากที่ฉันได้สัมผัสมา  

           ต้องขอขอบคุณ คุณตาย้อม พูนแสง ที่ได้ให้ความรู้ถึงกระบวนการทำ  
            “รองเท้าจากยางรถสิบล้อ”  ขอขอบคุณค่ะ

           คุณตาย้อม....
           ท่านขายในคู่ละ  60 บาท เท่านั้น 



           ใครที่สนใจก็ไปซื้อได้ค่ะ ที่บ้านสวาย ตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

สินค้าชุมชน บ้านหนองผำ ตำบลหนองฮะ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์

สินค้าแปรรูปของชุมชน บ้านหนองผำ
ต.หนองฮะ อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์


บ้านหนองผำ หมู่ 8 ต.หนองฮะ อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ 32170


                      ต้องบอกก่อนเลยว่า การเลี้ยงจิ้งหรีดขาว หรือจิ้งหรีดไข่ ของหมู่บ้านนองผำ การรวมกลุ่มของแม่บ้าน ของหมู่บ้าน ที่อยากจะสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน โดยที่เริ่มต้นจากการนำมาเลี้ยงเพียง 1 หลัง และมีการแนะนำ พาชาวบ้านไปดูงาน ศึกษากรรมวิธีการเลี้ยง การสร้างรายได้ต่างๆ และตรวจสอบความสมัครใจของชาวบ้านเอง ในการนำจิ้งหรีดเข้ามาเลี้ยง ก็พบได้ว่าหลายๆ ครัวเรือนในหมูบ้านก็ให้ความสนใจในการเลี้ยงจิ้งหรีด เพื่อเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งสำหรับเกษตรกร หรือชาวนา ที่เว้นว่างจากการปลูกข้าว ทำการเกษตรต่างๆ นอกจากจะเป็นการสร้างรายได้ ยังถือเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุ่มชนอื่นๆ ในระแวกนั้นมาศึกษาดูงาน และนำไปปรับใช้ในการสร้างรายได้ อีกทางหนึ่งเช่นกัน


                     โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีแม้ค้าเข้ามารับจิ้งหรีดไปขายตามตลาดนัด ส่งขายตามออเด้อที่สั่งเข้ามา ซึ่งก็เป็นรายได้ที่ถือว่าไม่แน่นอนมากนัก ทางชุมชนเองก็ได้นำเอาจิ้งหรีดมาแปรรูป เป็นสินค้าแปรรูปในชุมชน โดยตัวจิ้งหรีดสามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลายมาก ชุมชนจึงเลือกมาแปรรูปเป็น น้ำพริกตาแดงจิ้งหรีด กับ ข้าวเกรียบจิ้งหรีด 


แต่ก่อนที่จะนำจิ้งหรีดออกขาย หรือมาแปรรูปได้นั้น เราจะต้องงดอาหาร 24 ชม. หรือเปลี่ยนจากอาหารจิ้งหรีด เป็นอาหารธรรมชาติ เช่น ผัก หรือฟักทอง 2-3 วัน ก่อนจับ เพื่อให้จิ้งหรีดถ่ายมูลออกมา และทางเดินอาหารสะอาด และจะไม่มีกลิ่นหัวอาหาร จากนั้นก็นำมาล้างอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ก่อนการนำมาแปรรูปต่อไป


มาดูข้อมูลและวิธีการทำกันเลยนะค่ะ 

ทรัพยากรธรรมชาติบนเขาสวาย


          สุรวิทย์ บุญบัวมาศ.  ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า สภาพป่า เป็นป่าเต็งรัง  พรรณไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ได้แก่  ไม้มะค่าโมง ไม้แดง ไม้พยุง ไม้เต็ง  ไม้พลวง      ไม้รกฟ้า  ไม้เหียง  ฯลฯ  พื้นที่โดยทั่วไปเป็นป่าโปร่งผิวหน้าดินตื้น  ชั้นล่างเป็นดินลูกรังและหิน  ไม้ที่ขึ้นอยู่เป็นไม้เล็ก  ลำต้นแคระแกร็น  ยกเว้นพื้นที่บริเวณหุบเขาระหว่างเขาหญิง  เขาชาย  และเขาคอก  ไม้ที่ขึ้นอยู่เป็นไม้ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่

          สัตว์ป่าที่สำรวจพบบ่อยๆ  ได้แก่  นกชนิดต่างๆ  กิ้งก่า  กระรอก  กระแต  ฯลฯ  นอกจากนั้นพบเห็นไม่ค่อยบ่อยครั้งนัก  ได้แก่  ไก่ป่า  กระต่ายป่า  งูชนิดต่างๆ  ตะกวด  เต่า  ฯลฯ

ลักษณะการให้บริการวนอุทยานของนักท่องเที่ยว

         สามารถแบ่งลักษณะการให้บริการวนอุทยานของนักท่องเที่ยวเป็น 2 ประเภท

          1. ไปเช้า-กลับเย็น  นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเพื่อพักผ่อนชมธรรมชาติและกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ตีระฆัง  1,080  ใบ  เพื่อเป็นศิริมงคล  นำอาหารมารับประทานเองจะมีจำนวนตั้งแต่  2-50  คน  พาหนะที่ใช้ส่วนมากจะเป็นรถจักรยานยนต์,รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน  20  ที่นั่งและรถบัส 30-55 ที่นั่ง





          2. พักแรมค้างคืน ผู้ใช้บริการส่วนมากจะเป็นคณะของลูกเสือ  เนตรนารี  คณะนักศึกษาวิชาทหารของจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง  เพื่อประกอบกิจกรรมพักแรมศึกษาธรรมชาติ  และฝึกภาคสนามซึ่งมาใช้บริการของวนอุทยานเป็นประจำทุกปี  โดยคณะจะเป็นผู้จัดเตรียมอุปกรณ์พักแรมมาเอง  สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปจะนำเต้นท์  และอุปกรณ์พักแรมมาเอง




วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

เสื่อกก ชุมชนบ้านไทร ต.หนองเหล็ก อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์

สินค้าดีๆในชุมชน


             วันนี้ดิฉันจะมาพูดถึงสินค้าในชุมชนของดิฉันค่ะ 
           เสื่อกก เป็นการสานต้นกกแล้วให้เกิดเป็นลวดลายที่สวยงาม ซึ่งดิฉันเองก็คุยเคยกับพวกนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก จำได้ว่าคุณยายกับแม่เคยพาไปตัดต้นกก ที่หนองน้ำ แต่กว่าจะเป็นเสื่อกกที่มีลวดลายสวยงามก็ต้องผ่านกรรมวิธีมาหลายขั้นตอน โดยส่วนใหญแล้วชาวบ้านจะทำในช่วงที่เก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรเสร็จ สลับกับการทอผ้าไหมไปด้วย ซึ่งที่บ้านของยายของดิฉันเองก็ทำเหมือนกัน ยายและป้า น้า อา รวมทั้งแม่ของดิฉันเองก็ต่างทอเสื่อเหมือนกัน จนบางครั้งดิฉันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า "แม่ทอเสื่อไว้ทำไม เยอะแยะ" แม่เลยตอบมาว่า "ทอเก็บไว้ เผื่อมีแขกมาที่บ้านแล้วจะได้ให้เขาไป เป็นของฝาก หรือไว้เผื่อขาย" แต่นานที่ที่จะขายได้ เพราะแม่ไม่ได้เอาไปขายตามท้องตลาดเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีลูกค้ามาซื้อที่บ้าน แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักของตลาดแต่ดิฉันก็ภูมิใจค่ะ ที่คุณยายยังไม่ทิ้งภูมิปัญญาการทอเสื่อไป 



                                     ต้นกก













 มาดูขั้นตอนการทอเสื่อกกกันค่ะ เริ่มตั้งแต่การตัดต้นกกสดแล้วคัดเลือลำต้นที่มีขนาดเท่ากัน 



จากนั้นก็สอยเป็นเส้นเล็กแล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้ง แล้วนำมาย้อยสี แต่ยังไม่เสร็จหยังเหลือขั้นตอนการทออีกค่ะ ขั้นตอตการทอเสื่อกกมีดังนี้น่ะค่ะ กางโฮงที่ีทำสำเสร็จรูปแล้วมากาง แล้วนำเชือกไนลอนสำหรับทอเสื่อมาดยงใส่ฟืมจนเสร็จ  ฟืมที่ใช้ต้องมีขนาดเท่ากับเส้นกกที่เราเตรียมไว้ เพื่อให้มีลวยลายมี่สวยงาม แล้วนำเส้นกกที่ย้อมมาทอตามลายที่ต้องการ และตัดไปตากแดกตามด้วยขั้นตอนสุดท้ายคือ การเย็บตะเข็บเป็นว่าเสร้จแล้วค่ะ

 นอกจากนี้แล้ว ความรู้และภูมิปัญญาของคุณยายเหล่านี้ เมื่อแปลงเป็นมูลค่า ก็จะมีค่ามตัวเงินอีกมากมายและองค์ความรู้ที่ได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง



วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาณาเขตและเนื้อที่


ทิศเหนือ  จด  ป่าสงวนแห่งชาติ  ป่าเขาสวาย
ทิศใต้  จด  รพช.  สายบ้านกะน๊อบ – บ้านสวาย
ทิศตะวันออก  จด  ที่นา
ทิศตะวันตก  จด  ทาง  รพช. สายกะน๊อบ – บ้านสวาย


สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ่ บนเขาสวาย ไม่ต้องกังวนเรื่องความร้อน ความลำบากของห้องน้ำ ทางสถานที่ได้มีการจัดสรรเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีที่พักผ่อน ตามจุดต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• อาคารที่ทำการ 1 หลัง ได้ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปีงบประมาณ  พ.ศ.2538
• อาคารศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนในการอนุรักษ์ฯ 1 หลัง ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปีงบประมาณ  พ.ศ.2549
• ศาลาพักผ่อน  6 จุด สำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการของวนอุทยาน
• ห้องสุขา  3 หลัง( ขนาด 10  ห้อง 2  หลัง, ขนาด 4  ห้อง 1 หลัง )



การเดินทาง

การเดินทางมายังวนอุทยานแห่งชาติพนมสาวย

             
             วนอุทยานแห่งชาติพนมสวาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของชาวสุรินทร์ ผู้ที่สนใจมาเที่ยวชม พนมสวาย การเดิมทางเป็นการเดินทางมาง่ายสะดวก และอยู่ไม่ทางจากตัวเมืองสุรินทร์
             การเดินทางจากอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ สายสุรินทร์-ปราสาท ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตรถึงบ้านกะน๊อบ แยกไปตามเส้นทาง รพช. สายบ้านกะน็อบ-บ้านสวายเป็นทางราดยาง 6 กิโลเมตร รวมระยะทางจากอำเภอเมืองถึงวนอุทยานพนมสวายประมาณ 20 กิโลเมตร

............."ถ้ามาสุรินทร์แล้ว อย่าลืมแวะมากราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศิริมงคล 
..............ให้แกตัวเอง และครอบครัว ณ วนอุทยานแห่งชาติพนมสวาย"